Welcome

Welcome

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรียนครั้งที่ 2

วันพฤหัสบดีที่  14  พฤศจิกายน  2556

          วันนี้อาจารย์เบียร์ได้ให้จับกลุ่มและออกไปจับฉลากเลือกหัวข้องานที่ต้องนำเสนอ  กลุ่มของดิฉันได้หัวข้อเรื่อง  " เด็กซีพี "

สิ่งที่ได้เรียนในวันนี้

ความหมายของเด็กพิเศษ

          ทางการแพทย์จะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า  "เด็กพิการ"  หมายถึง  เด็กที่มีความผิดปกติมีความบกพร่อง  สุญเสียสมรรถภาพ  อาจเป็นความผิดปกติทางทางร่างกาย  การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญาหรือทางจิตใจ
           ทางการศึกษา คือ  "เด็กที่มีความต้องการพิเศษ"   หมายถึง  เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตนเอง  ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทั้งด้านเนื้อหา  หลักสูตร  การะบวนการที่ใช้และการประเมิน           
          สรุป  คือ
1.เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควร  จากการให้การช่วยเหลือ  และการสอนตามปกติ
2.มีสาเหตุจากสภาพความบกพร่องทางด้านร่างกาย  เป็นหลักจึงส่งผลให้สมรรถภาพทางด้านอื่นๆลดลง
3.จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น  ช่วยเหลือ  การบำบัดฟื้นฟู
4.การจัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะและความต้องการของเด็กแต่ละบุคคล


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  10  ประเภท  แบ่งออกได้ 2 กลุ่ม  ดังต่อไปนี้

1.กลุ่มที่มีความสามรถพิเศษสูง
          คือ  เด็กที่มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา  โดยทั่วไปเรียกว่า "เด็กปัญญาเลิศ"  มี  IQ สูงถึง 120
 ตัวอย่างบทความเด็ฏปัญญาเลิศที่น่ายกย่อง
บทความเรื่อง “จากแอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถึงกองขี้หมา”  มองพุทธศาสนาผ่านสายตาน้องเดียว
http://www.unigang.com/Article/5294
2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง 
แบ่งได้  9  ประเภทตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการ  คือ
          1.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ( Children With Intellectual Disabilities )   คือ  เด็กที่มีสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน  แบ่งเป็น 2 กลุ่ม  ดังนี้
                 1.เด็กเรียนช้า 
                     -สามารถเรียนรู้ได้ปกติแต่เรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป
               สาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก คือ 1.เศรฐกิจของครอบครัว  2.การส่งเสริมประสบการณ์ให้กับเด็ก  3.ภาวะทางด้านครอบครัว  4.การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ  5.การสอนไม่มีประสิทธิภาพ
               สาเหตุที่มาจากปัจจัยภายใน  คือ  1.พัฒนาการ  2.อาการเจ็บป่วย

                2.เด็กปัญญาอ่อน
                     คือ เด็กที่มีพัฒนาการหยุะงัก  มีลักษณะเฉพราะคือ  สติปัญาต่ำ  ทำให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยากลำบาก  ความสามารถเรียนรู้น้อย  มีขีดจำกัดด้านทักษะทำให้พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย  แบ่งออกได้ด้วยกัน 4 กลุ่ม  ดังนี้
                    1.ปัญญาอ่อนหนักมาก  IQ  ต่ำกว่า  20  เรียนรู้ทักษะต่างๆไม่ได้ ต้องอยู่ในการดูแลของพยาบาล  เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
                    2.ปัญญาอ่อนหนัก  IQ  อยู่ระหว่าง  20 - 34  สามารถช่วยเหลือตนเองได้ง่าย ๆ  ต้องฝึก
                    3.ปัญญาอ่อนกลาง  IQ  อยู่ระหว่าง 35 - 49 สามารถฝึกทำงานง่าย ๆได้  ที่ไม่มีความละเอียดมากนัก  สามารถเรียกเด็กกลุ่มนี้ได้อีกอย่างคือ  เด็ก T.M.R
                    4.ปัญญาอ่อนน้อย  IQ  อยู่ระหว่าง  50 - 70  สามารถเข้าโรงรียนได้ในระดับชั้นประถม สามารถเรียกเด็กกลุ่มนี้ได้อีกอย่าง  คือ  เด็ก E.M.R
         ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา  คือ  มักจะไม่พูด   มีความสนใจสั้ัน  ความคิดและอารมณ์แปรปวนเปลี่ยนอารมณ์ง่าย มีอารมณ์รุนแรง  ทำงานช้าเนื่องจากอวัยวะบางส่วนผิดปกติ
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญา
          2.เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ( Children With Hearing Impaired ) คือ เด็กที่มีความบกพร่องหรือสูญเสียการได้ยินเป็นสาเหตุให้มีปัญหาในการรับฟังเสียงต่าง ๆ  แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ
               1.เด็กหูตึง  คือ  สามารถรับฟังเสียงโดยใช้เครื่องช่วยฟัง  จำแนกได้ทั้งหมด  4  กลุ่มคือ
                     1.หูตึงระดับน้อย  ได้ยินเสียงระหว่าง 26 - 40 dB จะไม่ได้ยินเสียงเบามาก เช่นเสียงกระชิบ
                     2.หูตึงระดับปานกลาง  สามารถได้ยินเสียงระหว่าง 41 - 55 dB  หากยืนอยู่ไกลกว่าระยะ 3- 5 ฟุตจะไม่ได้ยินเสียง  ส่งผลให้พูดไม่ชัด  ออกเสียงเพี้ยน
                     3.หูตึงระดับมาก  ได้ยินเสียงระหว่าง 56 - 70 dB  จะมีปัญหาในการฟัง  ต้องเป็นเสียงระดับเครื่องตัดหญ้าถึงจะได้ยิน  ส่งผลให้พูดไม่ชัด
                     4.หูตึงระดับรุ่นแรง  ได้ยินในระดับ  71 - 90 dB  คือต้องเสียงดังมาก ๆถึงจะได้ยิน เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง  เด็กมักพูดไมชัด

                2.เด็กหูหนวก  คือ  ไม่ได้ยินเลย แม้จะใส่เครื่องช่วยฟัง คือสูญเสียการได้ยิน ต้องมีความดัง 91 dB ขึ้นไปถึงจะได้ยิน
                 ลักษณะการบกพร่องทางการได้ยิน  คือ  ไม่ตอบสนองการพูด  มักแสดงท่าทาง  พูดไม่ถูกไวนากรณ์  พูดด้วยน้ำเสียงแปลก  มักบกพร่องทางการเห็นด้วยเนื่องจากไม่ได้ยินเสียงเรียก  พูดเสียงแปลกๆ  เช่น ใช้เสียงต่ำ เสียงสูงเกินความจำเป็น
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจะใช้ภาษามือสื่อสาร
          3.เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น (Children With Visual Impairment )  จำแนกได้  2  ประเภทคือ
                1.เด็กตาบอด  คือ  คือสามารถมองเห็นได้บ้างเพียงเล็กน้อย  สามารถมองเห็นในระยะ 6/60 , 20/200    หรือเพียง 1 ใน 10 ของคนสายตาปกติ  มีลานสายตากว้าง  5 องศา
                2.เด็กตาบอดไม่สนิท  คือ  มีความบกพร่องทางสายตา  แต่สามารถมองเห็นได้บ้าง  ทำการทดสอบสายตาข้างที่ดีได้  6/18 , 20/60 , 6/60 , 20/200  มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
                ลักษณะความบกพร่องทางสายตาคือ   เดินงุ่มงาม  เดินสะดุด  มองสีผิดปกต  บ่นปวดศีรษะ  คลื่นไส้  ตายลาย  ก้มศีรษะใกล้เวลาทำงาน  ปิดตาข้างมองไม่เห็นแล้วใช้ข้างที่ดีมอง  มีความลำบากในการจำ
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น